แพทย์โรงพยาบาลศัลยกรรมดัง ออกโรงเตือน…จมูกในมุมมืด ศัลยกรรมจมูกเป็นหนึ่งในหัตถการที่คนทั่วโลกโดยเฉพาะคนไทยให้ความนิยมเป็นอันดับหนึ่ง 

   แต่ทั้งนี้เหรียญมีสองด้าน หัว – ก้อย การทำจมูกก็เช่นกัน ที่มีทั้งมุมสว่างและมุมมืด หมอเบนซ์ นพ.โฆษิต เอี้ยวฉาย แพทย์ผู้ชำนาญการด้านศัลยกรรมจมูกแบบโอเพน แห่งโรงพยาบาลมาสเตอร์พีช โรงพยาบาลศัลยกรรมครบวงจรอันดับต้นของเมืองไทย มาให้คำตอบเรื่องการทำจมูกที่ใช่ว่าจะมีแต่ข้อดีเสียทั้งหมด

  1. จมูกซิลิโคน

แต่ก่อนค่านิยมของคนไทย แค่มีดั้งจมูกขึ้นมาก็เรียกว่าสวยแล้ว ไม่มีใครใส่ใจเรื่องปลายจมูกสวย จมูกเพรียว เท่าไรนัก  ซึ่งซิลิโคนมีข้อดีและข้อเสีย ข้อดีคือราคาถูก ทำง่าย หรือถ้าทำแล้วมีปัญหาก็ถอดออกง่าย ไม่ต้องดมยาสลบก่อนทำจมูก แค่ฉีดยาชา 

แต่ปัญหาคือ การสร้างพังผืดส่งผลให้มันหดและรัดตัวเป็นแกนเล็กๆ ได้ หากรั้งเป็นแนววงหรือแนวขวางจะรัดเป็นแกน ถ้ารั้งตามแนวดิ่งจะรั้งเป็นแนวสั้น จมูกจะเชิดขึ้น แล้วพออยู่ไปนานๆ หากเป็นซิลิโคนเกรดที่แข็งจะมีหินปูนเคลือบผิวค่อนข้างมาก

ผลที่เห็นจากภายนอกมักเกิดขึ้นเมื่อทำจมูกซิลิโคนไปแล้วประมาณ 5 ปีขึ้นไป แล้วแต่เกรดของซิลิโคน กับข้อเสียจริงๆ ของซิลิโคนคือ มันแก้ปัญหาเรื่องจมูกอะไรไม่ได้เลย นอกจากทำให้โด่งขึ้น

กับซิลิโคนหลายยี่ห้อชอบโฆษณาว่าเป็นซิลิโคนป้องกันปัญหาปลายทะลุ หรือลดอัตราการทะลุได้ ซิลิโคนพวกนี้มักผลิตออกมาให้หัวใหญ่ เหมือนรูปโลก เรียกกันว่าซิลิโคนตั้กแตน ซึ่งถ้าเราใช้มันไม่ถูกวิธี พยายามดันปลายเยอะๆ ก็ทะลุอยู่ดี กับด้วยโครงสร้างมันจะมีขอบที่กว้างกว่าปกติ ซึ่งขอบจะค่อนข้างคม แปลว่าแทนที่จะทะลุปลาย ก็ไปทะลุในรูจมูกแทน จึงไม่เกิดประโยชน์ใดเลย

  1. จมูกซิลิโคน + กระดูกอ่อนหลังหู

เป็นที่แน่นอนว่าการทำจมูกซิลิโคน ในอนาคตคุณจะมีปัญหาเรื่องปลายจมูกทะลุเป็นหลัก จึงมีการโฆษณาขายเทคนิคพิเศษว่า เป็นการเอาซิลิโคนมาบวกกับกระดูกอ่อนหลังหู

เป็นการเอากระดูกอ่อนหลังหูมาคลุมเฉพาะตรงปลายจมูก เพื่อให้รู้สึกว่ามันจะไม่ทะลุ เพราะมีกระดูกอ่อนเราอยู่ แต่จริงๆ แล้ว ซิลิโคนซึ่งเป็นวัสดุสังเคราะห์ มันจะดันกระดูกอ่อนหลังหู ให้ปั๊มเข้าไปในผิวหนัง 

กระดูกอ่อนหลังหูพอมันแปะอยู่ตรงบริเวณปลายจมูก นานวันเข้าผิวหนังจะบางลง ก็เหมือนกับเรามีเหรียญอะไรกลมๆ มาแปะอยู่ที่ปลายจมูก 

แต่ใช่ว่าเทคนิคนี้ไม่มีประโยชน์นะครับ ในเคสที่ผิวหนังหนาพอดีๆ กระดูกอ่อนหลังหูจะช่วยทำให้ปลายจมูกยาวเพิ่มได้อีกหน่อย สวยมากขึ้นอีกนิด ซึ่งขึ้นอยู่กับความเป็นมืออาชีพ และความซื่อสัตย์ในการเลือกเคสของหมอที่คุณเจอ

  1. จมูกซิลิโคน + เนื้อก้นกบ

อันดับต่อมาของมุมมืดซิลิโคน คือมีคนหันไปเล่นซิลิโคนบวกกับเนื้อก้นกบ ด้วยการเอาเนื้อบริเวณก้นกบมารองหัวซิลิโคน หรือถ้าพูดให้เห็นภาพก็คือเนื้อร่องก้นนั่นเอง 

พอใส่เนื้อก้นกบเข้าไปแล้ว ตอนแรกๆ ก็ยังดีอยู่หรอกครับ แต่ข้อเสียของมันคือ เมื่อผ่านเวลาไปนานวันเข้า เนื้อตรงกลางมันจะโดนกดจนบาง เนื่องจากเราตัดมา มันไม่ใช่เนื้อที่มีชีวิตแล้ว พอฐานใต้เนื้อคือซิลิโคน แถมมีแรงกด มันจึงรอดยาก เพราะไปวางบนเนื้อเยื่อที่ไม่มีชีวิต ในที่สุดเนื้อก้นกบนั้นก็จะฝ่อไปในที่สุด เพราะโดนกด โดนบี้อยู่อย่างนี้ กลายเป็นเนื้อตาย 

ความซวยคือเนื้อด้านข้างที่ไม่โดนซิลิโคนกดไปด้วย มันยังมีเส้นเลือดมาหล่อเลี้ยง สุดท้ายคนไข้ที่เสริมซิลิโคนบวกกับเนื้อก้นกบจะเจอปัญหาปลายจมูกใหญ่กันทุกคน และปลายใหญ่ไม่พอ ตรงกลางยังบางอีกต่างหาก 

  1. จมูกซิลิโคน + เนื้อเยื่อเทียม  

ที่ผ่านมาการทำศัลยกรรมจมูกมีคนคิดค้นวัสดุอุปกรณ์ขึ้นมาใหม่อยู่เรื่อยๆ หนึ่งในนั้นคือ เนื้อเยื่อเทียม ซี่โครงเทียม (PCL Mesh) และซี่โครงบริจาค

เนื้อเยื่อเทียม ส่วนมากจะบรรจุอยู่ในซองสีขาวๆ ขนาดมีตั้งแต่ 1x1 เซนติเมตร หรือ 1x5 เซนติเมตร มีแบบเป็นแผ่นและแบบที่เหลามาแล้ว หน้าตาคล้ายซิลิโคน เพื่อใช้แทนเนื้อก้นกบ แทนกระดูกอ่อนหลังหู แต่แท้จริงแล้วมันไม่ใช่เนื้อเยื่อเทียมจากวัสดุสังเคราะห์ ทว่าเป็นผิวหนังศพ

คือผิวหนังของมนุษย์คนหนึ่ง เอามาผ่านกระบวนการทำให้แห้ง ฆ่าเชื้อ ฉายรังสี โดยเลี่ยงบอกว่ามันเป็นเนื้อเยื่อเทียม ซิลิโคนเนื้อเยื่อเทียม หรือสุดแท้แต่จะเรียกว่าอะไรก็ตาม เพราะถ้าบอกว่าเป็นผิวหนังบริจาคจากศพ…ใครจะใช้

เนื้อเยื่อเทียมตัวนี้ไม่ได้มีปัญหาอะไรรุนแรง นอกจากปลายจมูกจะปรากฏรอยแดงนาน บางคนแดงนานเป็นปี เพราะกระบวนการที่เนื้อเยื่อเทียมเข้าไปอยู่ในเนื้อเยื่อเราจำเป็นต้องใช้เวลานานพอสมควร 

 

  1. ซี่โครงบริจาค ซี่โครงเทียม 

ในบางประเทศ ข้อกฎหมายของเขาอนุญาตให้มีการซื้อขายศพได้ กระบวนการตระเตรียมก็เหมือนกับเนื้อเยื่อเทียม คือเอามาผ่านการฆ่าเชื้อ การฉายรังสี และบางส่วนอาจนำมาขายแบบเป็นแท่ง บางส่วนฝานเป็นแท่งบาง หนาประมาณ 2 3 มิลลิเมตร ยาวราว 3 เซนติเมตร 

ที่ล้ำมากไปกว่านั้น คือซี่โครงเทียมที่มีการเอาซี่โครงม้ามาใช้ เรียก Equine นั้นมีราคาถูกลง สามารถผลิตในปริมาณมากได้ แถมซี่โครงของม้ายังดูขาวกว่า แต่มีข้อด้อยตรงที่มันสลายได้ ต่างจากซี่โครงบริจาคของมนุษย์ที่มีอัตราการสลายประมาณ 50 เปอร์เซนต์ ทำให้ในระยะยาวเกิดปัญหาจมูกเสียทรง ส่วนซี่โครงม้ามีอัตราการสลายเกือบร้อยเปอร์เซนต์ หรืออย่างน้อยต้องมีสัก 80 90 เปอร์เซนต์ คือสลายชัวร์ เพียงแต่ใช้เวลามาก –  น้อย ไม่เท่ากัน 

  1. เสริมจมูกเซมิโอเพน

เซมิโอเพน คือคำที่ใช้เรียกเพื่อส่งเสริมการขายให้คนไข้รู้สึกว่าได้ทำมากกว่าการทำจมูกแบบปิด แต่ไม่ต้องจ่ายเงินถึงขั้นทำจมูกโอเพน กับเซมิโอเพนมักมาพร้อมคำว่า Interdome  

เย็บอินเตอร์โดม เป็นการเย็บเพื่อให้ปลายจมูกดูเล็กลง ซึ่งการทำจมูกแบบโอเพนมีการเย็บอินเตอร์โดมจริง 

หัตถการเย็บอินเตอร์โดม นั้นทำให้ปลายจมูกเล็กลง แต่ในการทำแบบซิลิโคน สุดท้ายหมอก็จะเอาซิลิโคนมาวางทับด้านบนอยู่ดี เย็บหรือไม่เย็บก็ได้รูปร่างนั้น แต่ไม่ได้รูปร่างตามที่คุณเย็บไว้ด้านล่าง 

โดยจะบอกกับคนไข้ว่าเป็นการเย็บกระดูกอ่อนหลังหู ที่ช่วยทำให้ปลายจมูกเล็ก ขณะที่การเย็บอินเตอร์โดมตามความหมายของเทคนิคโอเพนเราไม่ได้ทำแค่นั้น แต่ยังมีการวางโครงสร้าง มีการทำหัตถการอื่นๆ ที่ละเอียดยิบย่อยออกไปอีกต่างหาก

สุดท้ายปลายจมูกก็ยังคงมีซิลิโคนมาวางทับ เพราะฉะนั้นการเย็บข้างล่างจึงไม่ได้มีผลอะไรต่อพื้นผิวด้านบน แถมคุณยังไปเปิดแผลในรูจมูก แล้วเข้าไปเย็บแบบมั่วๆ โดยไม่ได้มองเห็นอะไรเลย จึงทำได้แค่ถกๆ แบบแอบๆ ดูๆ แล้วปักๆ เทคนิคนี้จึงสร้างปัญหาให้แก้ไขยากหนักกว่าเก่า

  1.  ฉีดฟิลเลอร์

อีกมุมมืดซึ่งมืดมาก คือการฉีดสารเหลว ฉีดฟิลเลอร์ ทั้งฟิลเลอร์จริง หรือฟิลเลอร์ปลอมแบบที่เขาฮิตๆ กัน 

ในความเป็นจริง ฟิลเลอร์สำหรับจมูกถูกผลิตขึ้นมาเพื่อเติมเต็มในบริเวณเล็กๆ เช่น เรามีข้อบกพร่อง เป็นรอยบุ๋มลงไป พอฉีดฟิลเลอร์เข้าไปนิดหนึ่ง สัก 0.1 ซีซี ตรงรอยบุ๋ม หรือบริเวณที่ดูไม่สมมาตรจะดูดีขึ้น คือเหมาะจะฉีดในตำแหน่งเล็กๆ ถึงเล็กมากๆ แต่ไม่ใช่การฉีดฟิลเลอร์เข้าไปเพื่อให้เป็นดั้งจมูก เพราะสุดท้ายแล้วฟิลเลอร์ดังกล่าวมันจะเผละออกด้านข้าง ทำให้จมูกดูไม่เท่ากันในที่สุด 

บางคนคิดว่าฟิลเลอร์สามารถสลายไปโดยธรรมชาติได้ แต่ในความเป็นจริงมันไม่ได้สลายไปไหนหรอก แต่จะไหลไปด้านข้าง ที่คนนิยมฉีดเพราะเข้าใจผิด คิดว่าสะดวก หรือลองฉีดจมูกเพื่อดูทรงก่อนว่าสวยไหม ก่อนตัดสินใจผ่าตัดในภายหลัง โดยฟิลเลอร์แท้จะอยู่เป็นทรงได้นาน 2 ปี หลังจากนั้นอาจมีลดลงบ้าง ที่หายโด่งหรือโด่งลดลงก็เพราะมันแผ่ออกด้านข้าง 

เรื่องนี้อาจไม่ใช่มุมมืดในการทำจมูก แต่เป็นการใช้ฟิลเลอร์ผิดๆ จากความเข้าใจผิด 

By admin

You missed

“เมดีซ กรุ๊ป” โชว์กำไรสุทธิ Q1/68 ที่ 74.63 ลบ. โตแรง 27% กวาดรายได้รวม 228.74 ลบ. เพิ่มขึ้น 20% YOY หลังความต้องการบริการด้านเซลล์ต้นกำเนิดสูง Dealer-Agent ขยายตัว หนุนทุกธุรกิจโตต่อเนื่อง นายแพทย์วีรพล เขมะรังสรรค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมดีซ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MEDEZE เปิดเผยว่า สำหรับผลประกอบการของบริษัท กลุ่มบริษัทมีกําไรสุทธิในไตรมาสที่ 1 ปี 2568 อยู่ที่ 74.63 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่บริษัทมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 58.91 ล้านบาท ในขณะที่บริษัทมีรายได้รวมอยู่ที่ 228.74 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่บริษัทมีรายได้รวม 190 ล้านบาท โดยบริษัทฯ มีอัตรากำไรสุทธิ อยู่ที่ประมาณ 31% – 40% ในไตรมาสที่ 1/2567 ไตรมาสที่ 4/2567 และไตรมาสที่ 1/2568 ซึ่งกลุ่มบริษัทฯ มีอัตรากำไรสุทธิ ที่แข็งแกร่ง และเติบโตอย่างต่อเนื่องนั้นเกิดจาก ในไตรมาสที่ 1/2568 กลุ่มบริษัทฯ สามารถรักษาระดับของอัตรากำไรขั้นต้น รวมถึงอัตรากำไรจากการดำเนินงาน ได้ในระดับที่ดี รวมถึงมีรายได้อื่นที่เพิ่มขึ้น และกลุ่มบริษัทมีค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้ที่ลดน้อยลงจากการที่กลุ่มบริษัทฯ ได้รับสิทธิประโยชน์ทางด้านภาษีอากรในการยกเว้นการเสียภาษี ผ่านโครงการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI ทั้งนี้การเพิ่มขึ้นของกำไร และรายได้ เกิดจากภาพรวมในการจัดเก็บเซลล์ต้นกำเนิด หรือ Stem Cell ยังมีความสำคัญ โดยเฉพาะการจัดเก็บเซลล์ต้นกำเนิดสำหรับเด็กเกิดใหม่ ซึ่งจะได้เซลล์ที่มีประสิทธิภาพสูงสุด แข็งแรง และมีความพร้อมสำหรับการนำไปใช้ในอนาคต ด้วยความก้าวหน้าด้านนวัตกรรมทางการแพทย์ และมีงานวิจัยที่ได้รับการยอมรับ ทั้งนี้แนวโน้มในการจัดเก็บยังมีความต้องการที่เพิ่มขึ้น อีกทั้งกลุ่มบริษัทฯ มีการเพิ่มขนาดทีมขายของกลุ่มบริษัทฯเอง รวมถึงเพิ่มพันธมิตรทางการค้า ที่เป็นตัวแทนให้บริการ (Dealer) และตัวแทนจำหน่าย (Agent) ทำให้สามารถเข้าถึงลูกค้าที่มีความต้องการมาจัดเก็บได้มากขึ้น และกลุ่มบริษัทฯ มีเครือข่ายพันธมิตรที่เป็นกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ รวมถึงสถานพยาบาลที่เพิ่มขึ้น ทำให้กลุ่มบริษัทฯ มีรายได้ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตามเป้าหมายที่ได้วางไว้ รวมถึงในปี 2568 กลุ่มบริษัทฯ มีการเปิดให้บริการผลิตภัณฑ์ใหม่ คือ การจัดเก็บเซลล์รากผม ที่กลุ่มบริษัทฯ เริ่มมีรายได้ในไตรมาสที่ 1 ปี 2568 จำนวน 3 ล้านบาท โดยคิดเป็น 2% ของรายได้จากการขายและการให้บริการ