AVALON เปิดตัว CEO หนุ่มไฟแรงสานต่อธุรกิจเครื่องประดับอัญมณี ผสานงานศิลปะทรงคุณค่าจากศิลปินดังระดับโลก ยกระดับ High Jewelry ก้าวสู่ Art Jewelry

ปัจจุบันตลาดเครื่องประดับอัญมณีถือได้ว่า มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดย AVALON ผู้นำเครื่องประดับส่งออกยุโรปมาอย่างยาวนาน ภายใต้การนำของ “คุณธันยพล คงวิทยากิจจ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) คนรุ่นใหม่ที่มาสานต่อธุรกิจครอบครัว ซึ่งเล็งเห็นถึงกระแสความนิยมการใช้เครื่องประดับอัญมณีที่เปลี่ยนไป จึงมุ่งมั่นนำเสนอความงดงามใหม่ของเครื่องประดับชุดใหม่ ล่าสุดที่ได้รับการออกแบบโดยศิลปินชื่อดัง ที่มาพร้อม ดีไซน์ทันสมัย และเหมาะกับไลฟ์สไตล์ของผู้สวมใส่ ก่อนเตรียมขยายช่องทางการขายทางออนไลน์ ในเร็วๆ นี้ เพื่อเปนการยกระดับเครื่องประดับอัญมณี High Jewelry ให้ก้าวสู่การเป็น Art Jewelry สร้างคุณค่า และความเป็นเอกลักษณ์ ในสไตล์ AVALON


คุณธันยพล คงวิทยากิจจ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) กล่าวว่า AVALON เป็นแบรนด์จิวเวลรี่ของไทย ที่มีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์นานกว่า 30 ปี “โดยเฉพาะการออกแบบและรังสรรค์เครื่องประดับอันวิจิตรงดงามและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว อาทิ การฝังอัญมณีลงบนตัวเรือนแบบไร้หนาม หรือที่เรียกว่า “Invisible Setting” ที่จะทำให้ไม่มีตัวโลหะมาบดบังความงามของอัญมณี ซึ่งมีน้อยแบรนด์ในประเทศไทยที่ทำได้แบบนี้ ซึ่งผู้ที่เก็บสะสมจิวเวลรี่ จะรู้ได้ทันทีว่า เป็นงานระดับลักชัวรี่ เพราะเป็นการนำพลอยคุณภาพสูงมาร้อยเรียงกันถักทอเป็นความงามที่ยากจะพบเห็น”


​“สำหรับภาพรวมตลาดจิวเวลรี่ ทั้งในประเทศไทย และต่างประเท นั้น ผมมองว่า วันนี้ เนื่องด้วยเศรษฐกิจโลกมีการฟื้นตัวดีขึ้น ส่งผลให้ ในปี 2567 ตลาดเครื่องประดับระดับไฮเอนด์จะมีโอกาสทางการตลาดเพิ่มขึ้น” โดย ซีอีโอ กล่าวด้วยว่า อัตราเติบโตเฉลี่ยต่อปีของตลาด Fine Jewelry อยู่ที่ร้อยละ 6 ถือได้ว่า มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
โดยเฉพาะการขายเครื่องประดับออนไลน์ ในปัจจุบันเติบโตถึงร้อยละ 19


​คุณธันยพล ยังกล่าวถึงการคาดการณ์แนวโน้มตลาดส่งออกของธุรกิจเครื่องประดับอัญมณีของไทย ในปี 2567 และประเทศคู่ค้าของแบรนด์ AVALON ด้วยว่า วันนี้ ตลาดจิวเวลรี่โลกมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง
ผู้บริโภคโดยเฉพาะตลาดยุโรปมีความต้องการสินค้าที่มีความยั่งยืน ซึ่งช่องทางการขายออนไลน์ยังคงมีบทบาทสำคัญ ขณะที่ ประเทศคู่ค้าสำคัญของ AVALON ยังคงอยู่ในทวีป อเมริกา ยุโรป เอเชีย โดยเฉพาะ จีน และตะวันออกกลาง “โดยตลาดในประเทศไทย AVALON ยังคงมุ่งมั่น ที่จะสร้างความไว้วางใจขากลูกค้าในประเทศ ผ่านความเป็นเอกลักษณ์และการออกแบบเฉพาะเครื่องประดับบุคคล ขณะที่ การสร้างตลาดในยุโรป AVALON จะนำเสนอคอลเลคชั่น Coliab กับศิลปินที่มีชื่อเสียงทั้งประเทศไทย และต่างประเทศ รวมถึงการนำเสนอเทคนิค “Invisible” ที่เป็นจุดเด่น ซึ่งทำให้ AVALON
กลายเป็นตัวแทนของแบรนด์เครื่องประดับไทยที่ผสมผสานความงามของศิลปะและงานผีมือ นอกจากนี้ ในส่วนของตลาดเอเชีย เราทำการตลาดผ่านช่องทางขายออนไลน์ และร่วมมือกับศิลปินท้องถิ่นรังสรรค์ความงานที่เป็นเอกลักษณ์ของแต่ละท้องถิ่น”


ซีอีโอ AVALON ยังเปิดเผยด้วยว่า เร็วๆ นี้ ทาง AVALON จะมีงานแสดงสินค้าที่ ประเทศโปแลนด์ ตลอดจน การร่วมมือกับ Aneta Weronika Gajos ประธาน IWS Poland และ ธัญญาภรณ์ อินทะหอม ประธาน IWS Swiss ในการสร้างสรรค์เครื่องประดับอัญมณีร่วมกัน โดย AVALON, ไม่เพียงรังสรรค์เครื่องประดับที่งดงามด้วยอัญมณีคุณภาพสูงจากธรรมชาติ แต่เรายังเป็นเสมือนผลงานศิลปะทรงคุณค่าที่สวมใส่ได้เป็นของสะสมที่ควรค่ากับการครอบครอง และเราพยายามทุ่มเทในทุกรายละเอียดเพื่อตอบสนองความต้องการและไลฟ์ สไตล์ของลูกค้าให้ลูกค้าของเราให้ได้รับความประทับใจสูงสุด ให้สมกับความมุ่งมั่น ที่เราตั้งเป้าที่จะให้ AVALON เป็นแบรนด์ชั้นนำภายใน 3 ปีข้างหน้า ขณะเดียวกัน เรายังมุ่งยกระดับภาพลักษณ์ของแบรนด์ AVALON ให้กลายเป็นผลงานศิลปะชิ้นเอกล้ำค่าและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เพราะ AVALON ไม่เพียงสร้างเครื่องประดับที่งดงามเท่านั้น แต่ยังเป็นต้นแบบที่ยั่งยืนต่อสิ่งแวดล้อม ด้วยวัสดุที่มีความยั่งยืนและการร่วมมือกับโครงการที่สนับสนุนการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม

——————————

By admin

You missed

“เมดีซ กรุ๊ป” โชว์กำไรสุทธิ Q1/68 ที่ 74.63 ลบ. โตแรง 27% กวาดรายได้รวม 228.74 ลบ. เพิ่มขึ้น 20% YOY หลังความต้องการบริการด้านเซลล์ต้นกำเนิดสูง Dealer-Agent ขยายตัว หนุนทุกธุรกิจโตต่อเนื่อง นายแพทย์วีรพล เขมะรังสรรค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมดีซ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MEDEZE เปิดเผยว่า สำหรับผลประกอบการของบริษัท กลุ่มบริษัทมีกําไรสุทธิในไตรมาสที่ 1 ปี 2568 อยู่ที่ 74.63 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่บริษัทมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 58.91 ล้านบาท ในขณะที่บริษัทมีรายได้รวมอยู่ที่ 228.74 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่บริษัทมีรายได้รวม 190 ล้านบาท โดยบริษัทฯ มีอัตรากำไรสุทธิ อยู่ที่ประมาณ 31% – 40% ในไตรมาสที่ 1/2567 ไตรมาสที่ 4/2567 และไตรมาสที่ 1/2568 ซึ่งกลุ่มบริษัทฯ มีอัตรากำไรสุทธิ ที่แข็งแกร่ง และเติบโตอย่างต่อเนื่องนั้นเกิดจาก ในไตรมาสที่ 1/2568 กลุ่มบริษัทฯ สามารถรักษาระดับของอัตรากำไรขั้นต้น รวมถึงอัตรากำไรจากการดำเนินงาน ได้ในระดับที่ดี รวมถึงมีรายได้อื่นที่เพิ่มขึ้น และกลุ่มบริษัทมีค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้ที่ลดน้อยลงจากการที่กลุ่มบริษัทฯ ได้รับสิทธิประโยชน์ทางด้านภาษีอากรในการยกเว้นการเสียภาษี ผ่านโครงการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI ทั้งนี้การเพิ่มขึ้นของกำไร และรายได้ เกิดจากภาพรวมในการจัดเก็บเซลล์ต้นกำเนิด หรือ Stem Cell ยังมีความสำคัญ โดยเฉพาะการจัดเก็บเซลล์ต้นกำเนิดสำหรับเด็กเกิดใหม่ ซึ่งจะได้เซลล์ที่มีประสิทธิภาพสูงสุด แข็งแรง และมีความพร้อมสำหรับการนำไปใช้ในอนาคต ด้วยความก้าวหน้าด้านนวัตกรรมทางการแพทย์ และมีงานวิจัยที่ได้รับการยอมรับ ทั้งนี้แนวโน้มในการจัดเก็บยังมีความต้องการที่เพิ่มขึ้น อีกทั้งกลุ่มบริษัทฯ มีการเพิ่มขนาดทีมขายของกลุ่มบริษัทฯเอง รวมถึงเพิ่มพันธมิตรทางการค้า ที่เป็นตัวแทนให้บริการ (Dealer) และตัวแทนจำหน่าย (Agent) ทำให้สามารถเข้าถึงลูกค้าที่มีความต้องการมาจัดเก็บได้มากขึ้น และกลุ่มบริษัทฯ มีเครือข่ายพันธมิตรที่เป็นกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ รวมถึงสถานพยาบาลที่เพิ่มขึ้น ทำให้กลุ่มบริษัทฯ มีรายได้ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตามเป้าหมายที่ได้วางไว้ รวมถึงในปี 2568 กลุ่มบริษัทฯ มีการเปิดให้บริการผลิตภัณฑ์ใหม่ คือ การจัดเก็บเซลล์รากผม ที่กลุ่มบริษัทฯ เริ่มมีรายได้ในไตรมาสที่ 1 ปี 2568 จำนวน 3 ล้านบาท โดยคิดเป็น 2% ของรายได้จากการขายและการให้บริการ