แอสตร้าเซนเนก้า จับมือโรงพยาบาลพุทธชินราช ยกระดับการดูแลรักษาเชิงรุก

ส่งมอบนวัตกรรม Asthma Smart Kiosk สู่เมืองต้นแบบแห่งการดูแลโรคปอดครบวงจร Healthy Lung Smart City

 

กรุงเทพฯ  บริษัท แอสตร้าเซนเนก้า (ประเทศไทย) จำกัด ร่วมกับโรงพยาบาลพุทธชินราช จังหวัดพิษณุโลก ทำการติดตั้ง Asthma Smart Kiosk เดินหน้าตามแผนยุทธศาสตร์ผลักดันจังหวัดพิษณุโลกให้เป็นเมืองต้นแบบแห่งการดูแลผู้ป่วยโรคปอดอย่างครบครัน ภายใต้โครงการ Healthy Lung Smart City เพื่อสานต่อจุดมุ่งหมายในการนำวิทยาศาสตร์และนวัตกรรมมาต่อยอด เสริมศักยภาพการวินิจฉัย และการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคระบบทางเดินหายใจ โดยมีความมุ่งมั่นที่จะลดอัตราการเสียชีวิตจากโรคหืด โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง และโรคมะเร็งปอด ให้ใกล้ศูนย์มากที่สุด โดยผ่านการยึดหลักการดูแลผู้ป่วยเป็นศูนย์กลาง โครงการนี้ได้ดำเนินการต่อเนื่องมากว่า 7 ปี และมีส่วนร่วมในการพัฒนาการดูแลผู้ป่วยกลุ่มนี้อย่างสม่ำเสมอ

ปัจจุบัน โรคระบบทางเดินหายใจถือเป็นปัญหาสุขภาพที่สำคัญเนื่องมาจากสภาวะอากาศในปัจจุบันที่เต็มไปด้วยมลพิษ รวมถึงฝุ่น PM 2.5 จากสถิติพบว่ามีผู้เสียชีวิตด้วยโรคหืดถึงวันละ 8-9 ราย คิดเป็น 3,142 รายต่อปี หรือคิดเป็น 3.42 ต่อประชากร 1 แสนคน  ซึ่งผู้ใหญ่จะเสียชีวิตมากกว่าเด็กประมาณ 5 เท่า ทั้งนี้บริษัท แอสตร้าเซนเนก้า (ประเทศไทย) จำกัด ร่วมกับ กลุ่มงานอายุรกรรม โรงพยาบาลพุทธชินราช จังหวัดพิษณุโลก ได้ร่วมเดินหน้าผนึกกำลังติดตั้งตู้อัจฉริยะ Asthma Smart Kiosk  โดยจะทำหน้าที่ในการช่วยบุคลากรทางการแพทย์ประเมินคัดกรองและดูแลรักษาผู้ป่วยโรคหืดให้มีประสิทธิภาพและเป็นไปตามมาตรฐานสากล สอดคล้องกับแผนกลยุทธ์ในการผลักดันจังหวัดพิษณุโลก ให้เป็นเมืองต้นแบบแห่งการดูแลผู้ป่วยโรคปอดอย่างครบครัน   และเป็นการสร้างรากฐานในการพัฒนาระบบสาธารณสุขไทยให้แข็งแกร่ง พร้อมก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางสุขภาพในระดับนานาชาติ

นายแพทย์กร ตาลทิพย์ ผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์ บริษัท แอสตร้าเซนเนก้า (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า “โครงการ Healthy Lung Smart City ต้องการเป็นส่วนหนึ่งเพื่อช่วยให้ผู้ป่วยสามารถเข้าถึงนวัตกรรมที่ทันสมัย ที่จะช่วยยกระดับการดูแลผู้ป่วยโรคหืดให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล  และเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารการทำงานของบุคลากรทางการแพทย์ภายใต้ข้อจำกัดทางเวลาให้มีความแม่นยำ ช่วยเหลือผู้ป่วยให้ได้มากที่สุด และยกระดับการดูแลรักษาเชิงรุกในผู้ป่วยในกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มโรคหืด โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง และโรคมะเร็งปอด โดยโครงการนี้ได้ตั้งเป้าที่จะเข้าถึงผู้ป่วยโรคหืดทั่วประเทศ ผ่านการขยายโครงการเชื่อมต่อระบบสาธารณสุขทางไกล ภายในปี 2568 เพื่อลดอัตราการกำเริบของโรคหืดและโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังให้เป็นศูนย์”

นายแพทย์ ขจร สุนทราภิวัฒน์ อายุรแพทย์โรคระบบหายใจและเวชบำบัดวิกฤติ โรงพยาบาลพุทธชินราช จังหวัดพิษณุโลก อาจารย์แพทย์นักพัฒนาผู้วางรากฐานและสร้างความพร้อมในการดูแลรักษาโรคหืดและโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง ด้วยการพัฒนาองค์ความรู้การรักษาที่เป็นปัจจุบัน กล่าวว่า “การจัดหาให้มีเครื่องตรวจสมรรถภาพปอดในโรงพยาบาลชุมชนทุกแห่ง และสร้างเครือข่ายการส่งต่อผู้ป่วยที่เข้มแข็ง ได้ส่งผลให้จังหวัดพิษณุโลกมีความพร้อมหลายด้านในการเป็นเมืองต้นแบบแห่งการดูแลโรคปอดครบวงจร”

สำหรับตู้อัจฉริยะ Asthma Smart Kiosk จะเปรียบเสมือนผู้ช่วยของบุคลากรทางการแพทย์ที่ทำหน้าที่ในการประเมินระดับการควบคุมโรคหืดของผู้ป่วย รวมถึงประเมินอาการที่อาจบ่งชี้ถึงโรคหืดได้ นอกจากนี้ยังมีวิดีโอสาธิตและสอนวิธีการใช้งานอุปกรณ์สูดพ่นยาสำหรับโรคหืดทุกประเภท รวมถึงการร่วมเสริมสร้างองค์ความรู้ด้านโรคหืด ผ่านสื่อความรู้เกี่ยวกับโรคหืดและแนวทางการดูแลสุขภาพ โดยมีเป้าหมาย 3 ประการ คือ ปลอดการใช้ยาและอุปกรณ์ที่ผิดหลักทางการแพทย์ ปลอดการกำเริบเฉียบพลันของโรคหืด และลดการเสียชีวิตด้วยโรคปอดให้เป็นศูนย์

โครงการ Healthy Lung Smart City ตั้งเป้าหมายในการนำนวัตกรรมตู้อัจฉริยะ Asthma Smart Kiosk ส่งต่อไปสู่สถานพยาบาลอีกหลายแห่งทั่วประเทศ เพื่อส่งเสริมการสร้างสุขภาพที่ดีให้คนไทยอย่างต่อเนื่อง และเห็นผลลัพธ์อย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งในอนาคตจะมีการต่อยอดนวัตกรรมเพื่อขยายการใช้งานในรูปแบบ web-based เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถสแกนข้อมูลผ่าน QR Code และทำการประเมินอาการเบื้องต้น โดยจะช่วยลดความแออัด และลดการรอคอยของผู้ป่วยในโรงพยาบาลได้อย่างมีนัยสำคัญ

###

 

By admin

You missed

“เมดีซ กรุ๊ป” โชว์กำไรสุทธิ Q1/68 ที่ 74.63 ลบ. โตแรง 27% กวาดรายได้รวม 228.74 ลบ. เพิ่มขึ้น 20% YOY หลังความต้องการบริการด้านเซลล์ต้นกำเนิดสูง Dealer-Agent ขยายตัว หนุนทุกธุรกิจโตต่อเนื่อง นายแพทย์วีรพล เขมะรังสรรค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมดีซ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MEDEZE เปิดเผยว่า สำหรับผลประกอบการของบริษัท กลุ่มบริษัทมีกําไรสุทธิในไตรมาสที่ 1 ปี 2568 อยู่ที่ 74.63 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่บริษัทมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 58.91 ล้านบาท ในขณะที่บริษัทมีรายได้รวมอยู่ที่ 228.74 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่บริษัทมีรายได้รวม 190 ล้านบาท โดยบริษัทฯ มีอัตรากำไรสุทธิ อยู่ที่ประมาณ 31% – 40% ในไตรมาสที่ 1/2567 ไตรมาสที่ 4/2567 และไตรมาสที่ 1/2568 ซึ่งกลุ่มบริษัทฯ มีอัตรากำไรสุทธิ ที่แข็งแกร่ง และเติบโตอย่างต่อเนื่องนั้นเกิดจาก ในไตรมาสที่ 1/2568 กลุ่มบริษัทฯ สามารถรักษาระดับของอัตรากำไรขั้นต้น รวมถึงอัตรากำไรจากการดำเนินงาน ได้ในระดับที่ดี รวมถึงมีรายได้อื่นที่เพิ่มขึ้น และกลุ่มบริษัทมีค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้ที่ลดน้อยลงจากการที่กลุ่มบริษัทฯ ได้รับสิทธิประโยชน์ทางด้านภาษีอากรในการยกเว้นการเสียภาษี ผ่านโครงการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI ทั้งนี้การเพิ่มขึ้นของกำไร และรายได้ เกิดจากภาพรวมในการจัดเก็บเซลล์ต้นกำเนิด หรือ Stem Cell ยังมีความสำคัญ โดยเฉพาะการจัดเก็บเซลล์ต้นกำเนิดสำหรับเด็กเกิดใหม่ ซึ่งจะได้เซลล์ที่มีประสิทธิภาพสูงสุด แข็งแรง และมีความพร้อมสำหรับการนำไปใช้ในอนาคต ด้วยความก้าวหน้าด้านนวัตกรรมทางการแพทย์ และมีงานวิจัยที่ได้รับการยอมรับ ทั้งนี้แนวโน้มในการจัดเก็บยังมีความต้องการที่เพิ่มขึ้น อีกทั้งกลุ่มบริษัทฯ มีการเพิ่มขนาดทีมขายของกลุ่มบริษัทฯเอง รวมถึงเพิ่มพันธมิตรทางการค้า ที่เป็นตัวแทนให้บริการ (Dealer) และตัวแทนจำหน่าย (Agent) ทำให้สามารถเข้าถึงลูกค้าที่มีความต้องการมาจัดเก็บได้มากขึ้น และกลุ่มบริษัทฯ มีเครือข่ายพันธมิตรที่เป็นกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ รวมถึงสถานพยาบาลที่เพิ่มขึ้น ทำให้กลุ่มบริษัทฯ มีรายได้ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตามเป้าหมายที่ได้วางไว้ รวมถึงในปี 2568 กลุ่มบริษัทฯ มีการเปิดให้บริการผลิตภัณฑ์ใหม่ คือ การจัดเก็บเซลล์รากผม ที่กลุ่มบริษัทฯ เริ่มมีรายได้ในไตรมาสที่ 1 ปี 2568 จำนวน 3 ล้านบาท โดยคิดเป็น 2% ของรายได้จากการขายและการให้บริการ