TikTok ปล่อยหมัดเด็ดกลยุทธ์การตลาดออนไลน์เพื่อสินค้าสินค้าอุปโภคบริโภคในไทย
พลิกโฉมธุรกิจ FMCG ด้วยพลังแห่งคอนเทนต์และคอมมูนิตี้ที่แข็งแกร่ง

กรุงเทพมหานคร, 26 มิถุนายน 2567- TikTok แพลตฟอร์มวิดีโอสั้นชั้นนำระดับโลก กำหนดนิยามใหม่ในการทำการตลาดสินค้าอุปโภคและบริโภค (FMCG: Fast-Moving Consumer Goods) ในประเทศไทย โดยการผสมผสานความบันเทิงและการสร้างคอมมูนิตี้ที่แข็งแกร่งที่ผู้บริโภคสามารถค้นพบและมีส่วนร่วมกับผลิตภัณฑ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปล่อยหมัดเด็ดข้อมูลเชิงลึกและกลยุทธ์สำคัญที่ช่วยให้แบรนด์สามารถเชื่อมโยงและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ตรงจุด ตอกย้ำการเป็นแพลตฟอร์มที่ยกระดับความคิดสร้างสรรค์อันไร้ขีดกำจัดและตอบโจทย์ทุกความท้าทายของการตลาดยุคใหม่ด้วยโอกาสในการสร้างการเติบโต

Sirinit-Virayasiri-Head-of-Business-Marketing-at-TikTok-Thailand.

ผู้บริโภคในประเทศไทยได้พัฒนาไปสู่การเป็น Omni-Shopper ลูกค้าสามารถเข้าถึงการซื้อสินค้าได้หลายช่องทางทั้งออนไลน์และออฟไลน์ โดยรายงานของ กันตาร์เรื่อง “The Omni-Shopper Revolution” ได้เน้นย้ำให้เห็นถึงสถานการณ์ตลาดสินค้าอุปโภคบริโภคในปัจจุบันที่ช่องทางการขายสินค้าออนไลน์ได้รับความนิยมจากหมู่ผู้บริโภคชาวไทยมากขึ้น ปัจจุบันเกือบครึ่งหนึ่งของครัวเรือนในประเทศไทยหรือประมาณ 45% ซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคทางออนไลน์เป็นหลัก ทำให้แบรนด์ต้องหันมาทำความเข้าใจะและให้ความสำคัญกับช่องทางการขายออนไลน์มากขึ้น

“TikTok ได้กลายมาเป็นจุด ‘Eye-Level’ ใหม่ที่สามารถดึงดูดความสนใจของผู้บริโภคและสร้างผลลัพธ์ให้กับสินค้า FMCG ได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยผู้ใช้ชาวไทยกว่า 92%[1] ยกให้ TikTok เป็นพื้นที่แห่งความบันเทิงและการช้อปปิ้งที่พวกเขานึกถึง ซึ่งสอดคล้องกับภารกิจหลักของเรา ในการจุดประกายความคิดสร้างสรรค์และมอบความสุขให้กับผู้คน พร้อมเปิดโอกาสให้ธุรกิจรายย่อยตลอดจนแบรนด์และเอเจนซี่สามารถใช้แพลตฟอร์ม TikTok เพื่อสร้างการเติบให้กับธุรกิจ” สิรินิธิ์ วิรยศิริ Head of Business Marketing , TikTok ประเทศไทย กล่าว

ตลาดสินค้าอุปโภคบริโภคเต็มไปด้วยผลิตภัณฑ์มากมายทำให้แบรนด์สร้างความโดดเด่นได้ยากขึ้น อีกทั้งผู้บริโภคยังมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนแบรนด์เพื่อหาประสบการณ์ใหม่ๆ รวมถึงมองหาความคุ้มค่าและคุณภาพเป็นสิ่งสำคัญ แบรนด์จึงต้องทำคอนเทนต์นำเสนอสินค้ามากขึ้นเพื่อให้ถูกค้นพบโดยกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งคอนเทนต์อันกลมกลืนเป็นธรรมชาติบนหน้าฟีดของ TikTok ช่วยให้แบรนด์เข้าถึงผู้บริโภคได้อย่างตรงจุดและส่งอิทธิพลต่อผู้บริโภคมากกว่าแค่การรับชมคออนเทนต์ สอดคล้องกับผลการสำรวจผู้บริโภคของ Accenture Song ซึ่งจัดทำร่วมกับ TikTok ซึ่งชี้ให้เห็นว่ากว่า 78%[2] ของผู้บริโภคตัดสินใจซื้อสินค้าเพราะรับชมคอนเทนต์เกี่ยวกับสินค้านั้นๆ บนแพลตฟอร์ม สะท้อนให้เห็นว่า TikTok เป็น Eye-Level จุดใหม่ในโลกธุรกิจ

ปัจจัยสำคัญ 3 ประการที่ช่วยปลดล็อกโอกาสในการทำการตลาดซึ่งขับเคลื่อนด้วยพลังในการค้นพบคอนเทนต์ที่ใช่บน TikTok
1. การเติบโตของคอมมูนิตี้คอนเทนต์สินค้าอุปโภคบริโภคบน TikTok: ผู้ใช้งาน TikTok ให้ความสนใจกับคอนเทนต์เกี่ยวกับสินค้าอุปโภคบริโภคบนแพลตฟอร์มอย่างมีนัยสำคัญและมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยคอมมูนิตี้คอนเทนต์ของสินค้าประเภทนี้มีการเติบโตสูงขึ้นในหลากหลายหมวดหมู่ อาทิ ผลิตภัณฑ์ดูแลบ้าน ผลิตภัณฑ์สำหรับเด็ก ผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่ม ตลอดจนผลิตภัณฑ์ความงาม ซึ่งการเติบโตดังกล่าวได้รับแรงผลักดันจากความสามารถอันโดดเด่นของ TikTok ในการเป็นพื้นที่แห่งการมีส่วนร่วมของผู้ใช้งาน
2. สร้างสะพานเชื่อมระหว่างแบรนด์กับครีเอเตอร์และคอมมูนิตี้: TikTok เชื่อมโยงแบรนด์กับคอมมูนิตี้ผ่านการมีปฏิสัมพันธ์ร่วมกันกับครีเอเตอร์ ช่วยให้แบรนด์และผู้บริโภคใกล้ชิดกันมากขึ้นและต่อยอดไปสู่การเติบโต โดย 83%[1] ของผู้ใช้หันมาพิจารณาแบรนด์หรือสินค้าอุปโภคบริโภคเพราะคอนเทนต์ของครีเอเตอร์ที่ค้นพบบนแพลตฟอร์ม ครีเอเตอร์บน TikTok จึงมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนความสำเร็จให้กับแบรนด์
3. พฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนจากการค้นพบสู่การกระทำ: พฤติกรรมของผู้บริโภคบน TikTok เปลี่ยนไปอย่างมากจากการค้นพบไปสู่การกระทำที่เป็นรูปธรรม โดย 90%[3] ของผู้ใช้ที่ค้นพบแบรนด์หรือผลิตภัณฑ์อุปโภคบริโภคบน TikTok จะค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมหลังจากนั้นทันที แสดงให้เห็นถึงความสามารถของแพลตฟอร์มในการกระตุ้นการมีส่วนร่วมที่ลึกซึ้ง และผู้ใช้ 2 ใน 3[1] ตั้งใจเสิร์จบน TikTok เพื่อค้นหาข้อมูลหรือสินค้าที่สนใจ สะท้อนให้เห็นถึงบทบาทของแพลตฟอร์มที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของผู้บริโภค

ปัจจัยเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าสภาพแวดล้อมที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและการมีส่วนร่วมของคอมมูนิตี้บน TikTok สามารถสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้บริโภคในการซื้อสินค้าทั้งในรูปแบบออฟไลน์และออนไลน์ที่จะช่วยส่งเสริมการเติบโตให้แก่ธุรกิจ

TikTok มุ่งมั่นสนับสนุนธุรกิจทุกขนาดให้เติบโตบนแพลตฟอร์มได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยการเป็น ‘Eye-Level’ จุดใหม่ ที่มาพร้อมโซลูชันและโอกาสในการเชื่อมโยงกับกลุ่มเป้าหมาย เราเชื่อว่าการสนับสนุนธุรกิจและครีเอเตอร์ให้เติบโตในตลาดที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วนี้ จะช่วยสร้างผลกระทบในระดับมหภาคและขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลในประเทศไทยได้

*****

 

By admin

You missed

“เมดีซ กรุ๊ป” โชว์กำไรสุทธิ Q1/68 ที่ 74.63 ลบ. โตแรง 27% กวาดรายได้รวม 228.74 ลบ. เพิ่มขึ้น 20% YOY หลังความต้องการบริการด้านเซลล์ต้นกำเนิดสูง Dealer-Agent ขยายตัว หนุนทุกธุรกิจโตต่อเนื่อง นายแพทย์วีรพล เขมะรังสรรค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมดีซ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MEDEZE เปิดเผยว่า สำหรับผลประกอบการของบริษัท กลุ่มบริษัทมีกําไรสุทธิในไตรมาสที่ 1 ปี 2568 อยู่ที่ 74.63 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่บริษัทมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 58.91 ล้านบาท ในขณะที่บริษัทมีรายได้รวมอยู่ที่ 228.74 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่บริษัทมีรายได้รวม 190 ล้านบาท โดยบริษัทฯ มีอัตรากำไรสุทธิ อยู่ที่ประมาณ 31% – 40% ในไตรมาสที่ 1/2567 ไตรมาสที่ 4/2567 และไตรมาสที่ 1/2568 ซึ่งกลุ่มบริษัทฯ มีอัตรากำไรสุทธิ ที่แข็งแกร่ง และเติบโตอย่างต่อเนื่องนั้นเกิดจาก ในไตรมาสที่ 1/2568 กลุ่มบริษัทฯ สามารถรักษาระดับของอัตรากำไรขั้นต้น รวมถึงอัตรากำไรจากการดำเนินงาน ได้ในระดับที่ดี รวมถึงมีรายได้อื่นที่เพิ่มขึ้น และกลุ่มบริษัทมีค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้ที่ลดน้อยลงจากการที่กลุ่มบริษัทฯ ได้รับสิทธิประโยชน์ทางด้านภาษีอากรในการยกเว้นการเสียภาษี ผ่านโครงการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI ทั้งนี้การเพิ่มขึ้นของกำไร และรายได้ เกิดจากภาพรวมในการจัดเก็บเซลล์ต้นกำเนิด หรือ Stem Cell ยังมีความสำคัญ โดยเฉพาะการจัดเก็บเซลล์ต้นกำเนิดสำหรับเด็กเกิดใหม่ ซึ่งจะได้เซลล์ที่มีประสิทธิภาพสูงสุด แข็งแรง และมีความพร้อมสำหรับการนำไปใช้ในอนาคต ด้วยความก้าวหน้าด้านนวัตกรรมทางการแพทย์ และมีงานวิจัยที่ได้รับการยอมรับ ทั้งนี้แนวโน้มในการจัดเก็บยังมีความต้องการที่เพิ่มขึ้น อีกทั้งกลุ่มบริษัทฯ มีการเพิ่มขนาดทีมขายของกลุ่มบริษัทฯเอง รวมถึงเพิ่มพันธมิตรทางการค้า ที่เป็นตัวแทนให้บริการ (Dealer) และตัวแทนจำหน่าย (Agent) ทำให้สามารถเข้าถึงลูกค้าที่มีความต้องการมาจัดเก็บได้มากขึ้น และกลุ่มบริษัทฯ มีเครือข่ายพันธมิตรที่เป็นกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ รวมถึงสถานพยาบาลที่เพิ่มขึ้น ทำให้กลุ่มบริษัทฯ มีรายได้ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตามเป้าหมายที่ได้วางไว้ รวมถึงในปี 2568 กลุ่มบริษัทฯ มีการเปิดให้บริการผลิตภัณฑ์ใหม่ คือ การจัดเก็บเซลล์รากผม ที่กลุ่มบริษัทฯ เริ่มมีรายได้ในไตรมาสที่ 1 ปี 2568 จำนวน 3 ล้านบาท โดยคิดเป็น 2% ของรายได้จากการขายและการให้บริการ