ยูโอบี จัดสัมมนา UOB Sustainability Compass Forum
เสริมความรู้เอสเอ็มอี เริ่มต้นลดคาร์บอน เพื่อความยั่งยืนและเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ
กรุงเทพฯ, 29 เมษายน 2568 – ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย จัดงานสัมมนา UOB Sustainability Compass Forum เพื่อตอกย้ำบทบาทการสนับสนุนธุรกิจเอสเอ็มอีให้สามารถเริ่มต้นเส้นทางการลดการปล่อยคาร์บอน (Decarbonization) ได้อย่างเป็นรูปธรรม พร้อมเตรียมความพร้อมให้ธุรกิจเหล่านี้สามารถอยู่รอดและเติบโตอย่างยั่งยืนในห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว งานเสวนาครั้งนี้ เป็นการเปิดพื้นที่ในการแลกเปลี่ยนความรู้ ความคิดเห็น รวมถึงข้อมูลกฎระเบียบที่กำลังจะส่งผลกระทบ และแชร์มุมมองจากธุรกิจที่เริ่มต้นเรื่องความยั่งยืน
นางพณิตตรา เวชชาชีวะ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ Financial Institutions และ ESG Solutions ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย กล่าวว่า “เมื่อปีที่แล้ว ธนาคารยูโอบี ได้เปิดตัว UOB Sustainability Compass เครื่องมือในการสนับสนุนผู้ประกอบการธุรกิจ เอสเอ็มอี ในการเปลี่ยนผ่านธุรกิจสู่ความยั่งยืน มีธุรกิจที่ให้ความสนใจแล้วมากกว่า 1,600 ราย ปัจจุบัน สถานการณ์ด้านความยั่งยืนมีปัจจัยจากหลายด้าน ที่ผลักดันให้ภาคธุรกิจต้องเตรียมรับมือ งาน UOB Sustainability Compass Forum ในครั้งนี้จึงเกิดขึ้น โดยธนาคารได้ร่วมมือกับพันธมิตรผู้เชี่ยวชาญในเรื่องของความยั่งยืน เพื่อสร้างการตระหนักรู้ และตื่นตัวในการเปลี่ยนแปลง เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน”
จากภาคสมัครใจสู่ภาคบังคับ
ผู้นำทั่วโลกตระหนักตรงกันว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นความเสี่ยงสำคัญที่สุดในทศวรรษนี้ คำถามสำคัญคือ ทำอย่างไรจึงจะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกควบคู่ไปกับการรักษาการเติบโตทางเศรษฐกิจและธุรกิจได้
ดร. ธีรเดช ทังสุบุตร Partner บริษัท เดอะ ครีเอจี้ จำกัด และกรรมการบริหารเครือข่ายการเงินเพื่อรับมือกับภาวะโลกรวน (Climate Finance Network Thailand หรือ CFNT) กล่าวว่า “นอกเหนือจากความร่วมมือภาคสมัครใจแล้ว หลายประเทศทั่วโลกเริ่มมีการร่างและออกกฎเกณฑ์และกฎหมายที่เริ่มมีผลบังคับใช้และจะมีเพิ่มขึ้นอีกเรื่อยๆ ในอนาคตอันใกล้เพื่อมุ่งสู่ระบบเศรษฐกิจ Net Zero ซึ่งกลไกเหล่านี้จะเป็นกติกาของเกมธุรกิจใหม่ บริษัทที่เข้าใจเกมใหม่นี้ก่อนก็จะสามารถเพิ่มโอกาสและสร้างความได้เปรียบทางธุรกิจและการค้าในบริบทการแข่งขันบนกติกาใหม่นี้
ประเทศไทยอยู่ระหว่างการพิจารณาผ่านกฎหมาย พรบ. ลดโลกร้อน รวมถึงกลไกต่างๆ ที่จะอยู่ภายใต้ พรบ. ซึ่งคาดว่าจะประกาศใช้ในอนาคตอันใกล้นี้ และยังมีความพยายามจากหลายหน่วยงานร่วมกันจัดทำมาตรฐาน Thailand Taxonomy ซึ่งเป็นมาตรฐานการจัดกลุ่มกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม ที่ทุกหน่วยงานสามารถนำไปใช้อ้างอิงได้โดยสมัครใจเพื่อส่งเสริมและช่วยขับเคลื่อนการลงทุนที่ยั่งยืน”
มาตรฐานการรายงานทางการเงินระหว่างประเทศว่าด้วยการเปิดเผยข้อมูลทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืนและสภาพภูมิอากาศ (IFRS S1 และ S2) รวมถึงแนวปฏิบัติการรายงานความยั่งยืนของบริษัทจดทะเบียนโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ต่างก็ได้กำหนดให้มีการเก็บรวบรวมข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในขอบเขตที่ 1, 2 และ 3
Scope 1 คือ การปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยตรง (Direct Emissions) ที่เกิดจากกิจกรรมขององค์กรหรือภายใต้การควบคุมขององค์กร Scope 2 คือ การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมจากการใช้พลังงาน (Indirect Emissions) Scope 3 คือ การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมอื่นๆ (Other Indirect Emissions) หรือการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดขึ้นในห่วงโซ่อุปทานทั้งจากต้นน้ำและปลายน้ำ นำมาซึ่งความสำคัญของการเก็บข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพื่อทำการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และลดความเสี่ยงจาก Climate Change
มาตรฐาน IFRS S1 – S2 กำหนดให้มีการเปิดเผยบัญชีการปล่อยก๊าซเรือนกระจก Scope 1, 2, และ 3 อย่างไรก็ตาม ในมุมของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) มีแนวทางให้บริษัทพยายามรวบรวมข้อมูล Scope 3 ให้ได้มากที่สุด โดยให้ระยะเวลา 5 ปี สำหรับการจัดเก็บข้อมูลดังกล่าว หลังจากนั้น ทุกบริษัทต้องปฏิบัติตามมาตรฐานเดียวกันทั้งหมด สำหรับบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ มีการทำรายงานความยั่งยืน (TCFD: Task Force on Climate-related Financial Disclosures) ซึ่งหนึ่งในประเด็นสำคัญคือการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ปัจจุบัน ให้ความสำคัญกับ Scope 1 และ 2 เป็นหลัก และคาดว่า ภายใน 5 ปีข้างหน้าจะมีการดำเนินมาตรการเกี่ยวกับ Scope 3 อย่างจริงจัง
เอสเอ็มอีเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทาน Scope 3
นายชยาธร ฉันท์เรืองวณิชย์ หุ้นส่วน บริษัท PwC ประเทศไทย กล่าวว่า การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain Decarbonization) มีความสำคัญ เพราะในบางอุตสาหกรรม เช่น ภาคการเงินและการลงทุน อาจมีสัดส่วนของการปล่อย Scope 3 สูงถึง 99.98% อันมาจากการปล่อย GHGs ของลูกค้าของธนาคาร ทำให้เอสเอ็มอี จะต้องเก็บข้อมูลและจัดการการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพื่อตอบโจทย์คู่ค้าที่เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานของบริษัทฯ ที่ต้องปฏิบัติตามมาตรฐาน IFRS S1 – S2
นายชยาธร กล่าวถึงหลักการทำ Supply Chain Decarbonization ทั้งในขอบเขตที่ 1 และขอบเขตที่ 2 ว่าหลักการเหมือนกัน คือเริ่มจากการเก็บรวบรวมข้อมูล จากนั้นดูในส่วนของ baseline และพิจารณาว่ามีส่วนไหนบ้างที่สามารถปรับปรุงเพื่อการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อที่จะนำมากำหนดเป็นแผนดำเนินการในการเริ่มลงมือจัดการการปล่อยก๊าซเรือนกระจก อย่างค่อยเป็นค่อยไป
“เอสเอ็มอีสามารถเริ่มต้นการเก็บข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้เลย เพื่อที่จะสามารถวางแผนการจัดการในอนาคตได้” นายชยาธร กล่าว
ธุรกิจลดต้นทุนได้ ด้วยโซลูชันลดคาร์บอน
นายภาณุ เภตรา รองกรรมการผู้จัดการบริษัทในเครือเภตรากรุ๊ป ธุรกิจตัวแทนจำหน่ายรถยนต์รายใหญ่ ซึ่งดำเนินธุรกิจมามากกว่า 30 ปี กล่าวว่า “บริษัทวางหัวใจ 4 ข้อในการทำธุรกิจคือ บริษัท พนักงาน ลูกค้า และชุมชนและสิ่งแวดล้อม โดยบริษัทเริ่มทำเรื่องความยั่งยืนมามากกว่า 10 ปี เริ่มจากการทำโชว์รูมรถยนต์ให้ได้มาตรฐานอาคารสีเขียว (Green Building) และทำหลังคาโซลาเซลล์ (Solar Rooftop) นำพลังงานแสงอาทิตย์มาใช้ พร้อมแบตเตอรี่เก็บพลังงาน รวมถึงการดำเนินการเรื่องขยะอาหาร การรีไซเคิลชิ้นส่วนนำกลับมาใช้ใหม่ พัฒนาประสิทธิภาพการทำงานเพื่อลดการทำงานของพนักงานลง สำหรับแผนระยะยาวคือการพัฒนาพนักงานทุกคนในองค์กรเป็นแกนหลักในการคิดและพัฒนารูปแบบการทำงานเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
“บริษัทเน้นลดและประหยัดเพื่อสิ่งแวดล้อม และปรับทัศคติของพนักงาน กว่าที่บริษัทจะเดินทางมาจนถึงวันนี้วันที่สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและอยู่บนเส้นทางสู่ความยั่งยืนได้ บริษัทต้องใช้เวลาและทรัพยกรจำนวนมากในการทำ แต่เมื่อได้มารู้จักกับ UOB Sustainability Compass เป็นแผนที่นำทางสำหรับผู้เริ่มต้นใหม่ที่เริ่มต้นเส้นทางความยั่งยืนได้ง่ายมาก ที่จะช่วยให้ เอสเอ็มอีสามารถมีแนวทางชัดเจน เป็นผู้ช่วยที่ดี มีข้อมูลครบในทุกมิติและทุกอุตสาหกรรม”
นายโสฬส ยอดมงคล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหาร บริษัท ยูนิคพลาสติก อินดัสตรี จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกคือคนของทั้งองค์กร ตั้งแต่ระดับผู้บริหารจนถึงระดับพนักงานต้องมีความเข้าใจ มีความรู้ และร่วมมือกัน บริษัทมีการตั้งคณะกรรมการด้านความยั่งยืน ที่ทำงานแบบ Cross Function ทุกหน่วยงานต้องมีส่วนร่วม”
ทั้งนี้ ในอนาคตจะมีปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจหากไม่มุ่งหน้าสู่ความยั่งยืน ไม่ว่าจะเป็นข้อกำหนดในการเปิดเผยข้อมูลทั้งจากผู้มีส่วนได้เสียทั้งภาครัฐและภาคเอกชน หรืออาจจะไปถึง Carbon Tax บริษัทควรพิจารณาและวางแผนว่าจะทำอย่างไร กับต้นทุนที่จะเพิ่มขึ้น ตัวอย่างเช่น การพิจารณาใช้เทคโนโลยีเพื่อลดต้นทุนในกระบวนการทำงาน ทำให้ต้นทุนการทำงานรวมลดลง บริษัทต้องเตรียมอย่างรวดเร็ว
ด้าน นายอาทิตย์ เวชกิจ ประธานคณะกรรมการ บริษัท นีโอ คลีน เอนเนอร์ยี่ จำกัด กล่าวว่า พรบ. โลกร้อน จะออกภายในปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า ทุกธุรกิจจะต้องเข้าสู่ภาคบังคับเรื่องการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งพลังงานแสงอาทิตย์เป็นหนึ่งในความต้องการของธุรกิจในการทำการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก หากธุรกิจไหนไม่มีแผนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Low Carbon Plan) อาจจะได้รับผลกระทบทางธุรกิจหากปรับตัวไม่ทันกับข้อกำหนดของคู่ค้าที่มีความต้องการด้านนี้
การลงทุนในพลังงานแสงอาทิตย์เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจะช่วยให้องค์กรสามารถลดลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและได้ผลตอบแทนจากการลงทุน นอกจากนี้ BOI มีการสนับสนุนเรื่องการทำ Renewable Energy และ Efficiency Energy รวมถึงการลงทุนนวัตกรรมเพื่อลดการปล่อยคาร์บอน บริษัทสามารถนำเงินลงทุน 50% ไปลดหย่อนภาษีนิติบุคคลได้
ยูโอบี พร้อมสนับสนุนการลดคาร์บอน
พันธกิจหลักของธนาคารยูโอบี คือการปล่อยสินเชื่ออย่างมีความรับผิดชอบ ธนาคารพยายามให้สินเชื่อเพื่อความยั่งยืนผ่านกรอบการเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่ยั่งยืนเพื่อเมืองอัจฉริยะ (Smart City Sustainable Financing Framework) เป็นการให้การสนับสนุนสินเชื่อแก่กิจกรรมทางเศรษฐกิจที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม อาทิ การติดตั้งพลังงานแสงอาทิตย์ การก่อสร้างอาคารประหยัดพลังงาน การปรับเปลี่ยนอาคารให้ประหยัดพลังงานมากขึ้น การบริหารจัดการขยะ การบริหารจัดการน้ำ การให้สินเชื่อเกี่ยวกับยานยนต์ไฟฟ้า
“ความยั่งยืนเป็นทั้งโอกาสและการบริหารความเสี่ยง ว่าทำอย่างไรให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน ธนาคารยูโอบี ต้องการเป็นพันธมิตรกับทุกภาคส่วนในการเดินไปสู่ความยั่งยืนร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็น UOB Sustainability Compass ที่เป็นคู่มือเริ่มต้น หรือการเชื่อมลูกค้าเอสเอ็มอีกับผู้ให้บริการทั้งผู้ให้บริการโซลูชันต่างๆ รวมทั้งการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อความยั่งยืน
นอกจากนั้น เรายังมุ่งเน้นการสร้างเครือข่ายความร่วมมือ โดยมีเป้าหมายที่จะเปิดโอกาสให้ลูกค้าที่ได้เริ่มดำเนินการด้านความยั่งยืนแล้ว ได้พบปะและแลกเปลี่ยนกับผู้ให้บริการโซลูชันต่างๆ และในครึ่งหลังของปีนี้ เราจะจัดโครงการนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืนอย่างต่อเนื่องจากปีที่แล้ว เนื่องจากความยั่งยืนเป็นประเด็นที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน และธนาคารยูโอบี ก็พร้อมเป็นส่วนหนึ่งเพื่อสนับสนุนให้ธุรกิจสามารถเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจที่ยั่งยืนไปด้วยกัน” นางพณิตตรากล่าวทิ้งท้าย