ดร.อานุภาพ เอื้อยฉิมพลี
สร้างแรงบันดาลใจ สู่แรงผลักดันอาขีพที่รัก คนทุกคนที่จะก้าวเดินไปบนเส้นทางแห่งความฝัน เพื่อให้ได้ความสำเร็จ อย่างที่ตั้งใจไว้ ไม่เพียงจะต้องใช้ความพยายามอย่างสูง ในการฟันฝ่าอุปสรรคมากมาย อาจต้องมีจิตใจที่แน่วแน่ ในการทำทุกอย่าง เพื่อให้ได้ก้าวไปถึงฝันที่วางไว้
ดร.อานุภาพ เอื้อยฉิมพลี หรือ ดร.ดามพ์ CEO บริษัท ME INSPIRE ซึ่งเป็นธุรกิจด้านการศึกษา ผู้บริหารหลักสูตรโปรแกรมการเรียนสองภาษา โครงการแลกเปลี่ยนระหว่างประเทศ บทบาทของการเป็นอาจารย์คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสุขภาพ มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช รวมถึงเป็นรองประธานหอการค้าไทย-นิวซีแลนด์ และเจ้าของเพจ “ดามพ์ว่าดี”
อินฟลูเอนเซอร์ที่มีสไตล์ไม่เหมือนใคร เล่าให้ฟังว่า เขาเป็นคนหนึ่งที่มีความฝันอยากเป็น อินฟลูเอนเซอร์ มาตั้งแต่เริ่มแรกของการทำงาน “ด้วยบ้านของผมเป็นคนจีนโบราณ จึงอาจเรียกได้ว่า ไม่เข้าใจกับเรื่องของ อินฟลูเอนเซอร์ หรือ การรีวิวสินค้าผ่านโซเชียลมีเดีย เท่าไรนัก เขาก็จะเลี้ยงลูกแบบคนสมัยก่อน รวมไปถึงมีความคาดหวัง เรื่องเรียน และ อาชีพของลูกๆ ในอนาคต ตามแบบที่เขาต้องการมากกว่า” นั่นยิ่งทำให้ ดร.ดามพ์ รู้สึกกังวลกับอาชีพในฝันที่คนรุ่นใหม่อยากเป็น
“สมัยแรกๆ ที่ผมมาเป็นอินฟลูเอนเซอร์ ใหม่ๆ ผมไม่กล้าถ่ายให้เห็นหน้าตาของตัวเอง ไม่กล้าเปิดเผยตัวเอง พยายามเลี่ยงไม่ให้ใครรู้ว่าเป็นผม โดยเฉพาะคนในครอบครัว อีกอย่าง กลัวจะมีญาติของเราเข้ามาติดตามในไอจี ซึ่งไม่ใช่แค่ที่บ้านเท่านั้น ผมยังกลัวไปถึงผู้ปกครองของเด็กนักเรียน จะมาติดตามไอจีอีกด้วย ทำให้ตื่นนอนทุกเช้า ต้องมาไล่เช็คด้วยความกังวลว่า ใครเข้ามาติดตามผมในไอจีบ้าง ถ้าเป็นญาติ หรือผู้ปกครองนักเรียน ผมถึงกับจำเป็นต้องไล่บล็อครายชื่อนั้นๆไป ด้วยความกลัวและความกังวลดังกล่าว จึงส่งผลให้ตัวเองมีความรู้สึกและเกิดคำถามในช่วงนั้นว่า ทำไมเราไม่ก้าวหน้าไปไหนเลยในบทบาทของความเป็นอินฟลูเอนเซอร์ ” ดร.ดามพ์ เล่า
จากความกลัวที่เกิดขึ้น ทำให้คนรอบข้างที่คอยสนับสนุนมีการตั้งข้อสังเกตในเรื่องนี้ ซึ่ง ดร.ดามพ์ เล่าว่า “ทุกคนรอบข้างที่เข้าใจและรู้จักความเป็นเรา เห็นการทำงานของเรามาโดยตลอด ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเราเป็นคนหนึ่งที่มีศักยภาพมาก แล้วอะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้คุณยังอยู่กับที่ ไม่พัฒนาต่อไป จนกระทั่งมีพี่ที่สนิทท่านหนึ่ง ได้มีคำพูดปลดล็อกความรู้สึกบางอย่าง จนทำให้ผมได้ปรับเปลี่ยนแนวความคิดไปอีกแง่มุม ซึ่งนับตั้งแต่นั้นมา ผมกลับมาปรับจูนความคิดอีกครั้ง แล้วพยายามเอาตัวเองออกจากความกลัวนั้น ผลที่ได้รับคือมีฟีดแบคดีๆ กลับมามากกว่าที่เราคิดไว้เสียอีก” และนั่นก็ทำให้ ดร.ดามพ์ กล้าที่จะเผชิญหน้าเพื่อทำความเข้าใจกับครอบครัวอีกครั้ง
ดร.ดามพ์ เล่าว่า หลังจากที่กลับไปคุยกับทุกคนในครอบครัว แต่บทสรุปที่ได้ก็ยังไม่เข้าใจตรงกัน “ทุกวันนี้ ตัวของผมก็ยังคงต้องต่อสู้ และใช้ความพยายามที่จะแสดงให้ทุกคนเห็นว่า สิ่งที่ผมทำเป็นส่วนหนึ่งของความฝันที่ผมอยากเป็น ไม่ว่าจะต้องใช้เวลานานแค่ไหน ผมก็ยังต้องทำต่อไป เพื่อลบความขัดแย้ง และความกลัวที่มีอยู่ในใจของผมให้หมดไปให้ได้”
จากความกังวลเรื่องครอบครัวที่คลายลงไป ก็มาเจอกับมุมมอง ของคนที่ไม่เข้าใจในตัวของเขา ซึ่งหลายคนอาจคิดว่า ดร.ดามพ์ เป็นอินฟลูเอนเซอร์ ที่มีต้นทุนชีวิตที่สูงมาก มีความพร้อม มีรสนิยมหรูหรา อยู่ในแวดวงแบรนด์เนม ใช้ชีวิตแบบฟุ้งเฟ้อ แต่สำหรับ ดร.ดามพ์แล้ว กลับบอกว่า “เอาจริงๆ ผมมาจากครอบครัวที่เป็นร้านขายของโชห่วย บางวันต้องช่วยแม่ด้วยการเอาสินค้าที่บ้านไปขายเพื่อนเพื่อหารายได้เสริมที่โรงเรียน ขณะเดียวกัน เราเองก็ไม่มีแบล็กกราวน์ หรือ พื้นฐานทางด้านธุรกิจเลยแม้แต่น้อย ไม่มีแม้แต่ คอนเนคชั่น แต่ด้วยตัวของผม เป็นคนที่ชอบเรื่องบิวตี้อยู่แล้ว ก็เลยพยายามทำมาในแบบที่เราคิด ลงทุนซื้อผลิตภัณฑ์ที่เราชื่นชอบ ที่เป็นกระแส ที่น่าสนใจ ทำมาเรื่อยๆ จนสามารถก้าวมาอยู่จุดนี้ ได้ในที่สุด”
ถามว่า เริ่มเข้ามาเป็นอินฟลูเอนเซอร์ ตั้งแต่เมื่อไร ซึ่งเจ้าตัวยอมรับว่า คงจะเป็นช่วงปี 2014 “ตอนนั้น ผมกำลังเริ่มเรียนปริญญาเอกแล้ว และด้วยความคิดที่ว่า เมื่อเรียนจบปริญญาเอก ก็อยากจะขอชีวิตของความเป็นตัวเองคืนบ้าง ตอนนั้นคิดแบบนี้เลยจริงๆ และก็พูดกับที่บ้านเอาไว้ด้วยแล้ว แต่อย่างที่บอก คนสมัยก่อนอยากให้ลูกเรียนหนังสือเก่งๆ เพื่อจะได้ทำงานเป็นหน้าเป็นตาให้กับครอบครัว แต่เราเองรู้สึกทนไม่ไหวแล้ว เพราะอยากทำในสิ่งที่เราฝันไว้และชอบจริงๆ”
ดร.ดามพ์ ยังเปิดเผยและเล่าถึงแผลในใจ ที่เขาต้องเจอในสมัยเรียนด้วยว่า “ผมมีแผลในใจที่ลึกมาก ซึ่งแผลนี้เกิดขึ้นตอนเรียนมัธยม ผมถูกบูลลี่จากเพื่อนๆอย่างหนักมาก เนื่องจากผมเป็นคนชอบเรื่องความสวยความงาม มาตั้งแต่เด็ก แต่ด้วยรูปร่างและหน้าตาเราสมัยนั้น ไม่ได้จัดอยู่ในกลุ่มคนหน้าตาดี เลยมักถูกเพื่อนรังแก และล้อเลียนอยู่เสมอ รวมถึงพูดดูถูกต่างๆนาๆว่า เราไม่มีทางทำในสิ่งที่ชอบได้ ไม่มีทางเป็นในสิ่งที่อยากเป็น โดนแม้กระทั่งเพื่อนเอาไม้กวาดมาแกล้งแตะๆตบๆที่ตัว (ตบแบบเล่นๆ แกล้งกันทั่วไป) บางทีก็โดนเพื่อนผู้ชายในห้องแกล้งจับตัวเอาไว้ แล้วอีกคนก็เข้ามาขยี้หน้า ซึ่งแม้จะเป็นการแกล้งกันเล่นๆแบบเด็กผู้ชาย แต่นั่นก็ทำให้ผมรู้สึกเป็นปมในชีวิตมาตลอด และกลายเป็นแผลในใจ จนทำให้เราต้องบอกกับตัวเองว่า สักวันเราต้องพิสูจน์ให้ทุกคนรู้ว่า เราทำได้ และเราจะต้องก้าวเข้าสู่วงการอินฟลูเอนเซอร์ ไห้ได้อย่างสง่างาม”
“อย่างที่บอก เราไม่มีแบล็กกราวน์ในด้านบิวตี้เลย คอนเนคชั่นก็ไม่มี ทำแบบก็อกๆ แก็กๆ แต่ด้วยเป็นเพราะความชอบ และถึงแม้จะต้องเรียนปริญญาเอกไปด้วยทำงานไปด้วย ในแต่ละวันผมรู้สึกเหนื่อยมากอยู่แล้ว แต่ผมก็มักจะเหลือแบตเตอรี่ก้อนสุดท้ายในตัว และแบตเตอรี่ก้อนสุดท้ายนั้น ก็จะส่งผลทำให้ผมรู้สึกฮึดขึ้นมาตลอด ทำให้ผมมีแรงตื่นตั้งแต่เช้าตรู่ เพื่อลุกขึ้นมารีวิวสินค้าในทุกๆวัน ศึกษาข้อมูลเชิงลึกของแต่ละแบรนด์รอบด้านอย่างสม่ำเสมอ จนกระทั่งมีโอกาสได้ร่วมงานกับหลายแบรนด์ดังระดับโลก รวมถึง Vogue Beauty Thailand และกำลังจะเดินทางไปร่วมงานเปิดตัว Global Ambassador ของบริษัทด้านความสวยงามระดับโลกเร็วๆ นี้
ดร.ดามพ์ ยังบอกด้วยว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา กว่าที่เขาจะก้าวมาถึงวันนี้ได้ ต้องใช้ความพยายามอย่างมาก “กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ ความยากเลยก็คือ การเอาชนะสิ่งที่อยู่ในใจของเราให้ได้ ผมมีความรู้สึกว่า ต่อให้ทุกอย่างจะเอื้ออำนวยในสิ่งที่เราอยากทำ แต่หากเราไม่สามารถเอาชนะใจ เอาชนะความกลัวที่อยู่ภายในตัวเราได้ ไม่ว่าจะทำอย่างไร ก็ยากที่จะก้าวไปถึงจุดที่ต้องการ” ดร.ดามพ์ ยังได้บอกเคล็ดลับ การเอาชนะความกลัวในใจตัวเองอีกด้วย
“สิ่งที่ผมคิดก็คือ ชีวิตของเราเหลือน้อยลงทุกวัน และอายุของผมก็มาถึงวัยเลข 4 แล้ว เลยทำให้ต้องมานั่งคิดกับตัวเองว่า ขอใช้ชีวิตในแบบที่อยากใช้ และถ้าเรารู้สึกว่า เราอยากใช้ชีวิตแบบที่เราอยากเป็นจริงๆ เราต้องกล้าที่จะปลดปล่อยทุกอย่างออกมา และนั่นก็ทำให้ผม ปลดล็อกความคิดที่เป็นปมในใจของผมได้ในที่สุด จากจุดนี้ผมค่อนข้างมองเห็นภาพตัวเองที่ชัดเจนแล้วว่า นับตั้งแต่วันนี้ไปจนถึงปลายทางของชีวิต ผมต้องการอะไร อยากเป็นอะไร อยากทำอะไร และจะไม่ใช้ชีวิตของตัวเองเพียงเพื่อคนอื่นไปซะทั้งหมดอีกต่อไป”
อย่างไรก็ตาม ดร.ดามพ์ มีแนวความคิดของการวางแผนดำเนินชีวิตในอนาคตของตัวเองด้วยว่า “ผมเป็นคนที่ไม่วางแผนแบบระยะยาวมากนัก แต่จะวางเป็นโมเมนต์ด้วยวิธีการทำทุกวัน ทุกวินาทีให้ดีที่สุด และผมก็มักไม่ค่อยวางเป้าหมายแบบกำหนดกฏเกณฑ์ตายตัวว่า ชีวิตของเราต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ผมจะวางชีวิตให้มีความยืดหยุ่นมากที่สุด และปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ โดยเฉพาะเมื่อต้องเจอกับปัญหาหนักๆ เราก็ยังสามารถเดินอ้อมไปอีกทาง ก่อนที่จะไปถึงจุดหมายปลายทางแบบเดียวกับที่เราตั้งใจไว้ได้” ดร.ดามพ์ ทิ้งท้ายไว้อีกว่า “วันนี้ทุกๆ โมเมนต์ของผม จะทำทุกอย่างให้ดีที่สุด เพราะผมเชื่อว่าอนาคตของเราคือ ผลผลิตของปัจจุบัน”