เมื่อเร็วๆนี้ คณะกรรมการติดตามและประเมินผลการปฏิบัติงาน (กตป.) ร่วมกับ คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) และ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จัดกิจกรรมเปิดนิทรรศการ (Open House) และนำเสนอผลงานวิจัยเรื่อง ความหลากหลายทางพหุนิยมของกิจการโทรทัศน์ หรือ Diversity and Pluralism ณ อาคารมิวเซียมสยาม สถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ กรุงเทพมหานคร

ดร.จินตนันท์ ชญาต์ร ศุภมิตร กรรมการติดตามและประเมินผลการปฏิบัติงาน (กตป.) ด้านกิจการโทรทัศน์และ ผศ.ดร.ประวิทย์ ชุมชู หัวหน้าโครงการวิจัยจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ร่วมกันตอบข้อซักถามเกี่ยวกับสถานการณ์กิจการโทรทัศน์ไทยในปัจจุบัน ภายใต้การกำกับดูแลของกสทช. ซึ่งมีการสะท้อนผ่านข้อมูลที่ได้รับจากการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนในพื้นที่ภาคต่างๆทั่วประเทศ

ดร.จินตนันท์ ชญาต์ร ศุภมิตร กล่าวถึงงานวิจัยเกี่ยวกับกิจการโทรทัศน์ไทยในปี 2565 ที่ผ่านมา ว่าได้ทำการศึกษาถึงความเหมาะสมด้านการออกอากาศ ระบบ 4K และ8K รวมทั้งติดตามการให้ทุนสนับสนุนของกองทุน กทปส ในด้านกิจการโทรทัศน์  สำหรับในปี 2566 นี้ ได้ศึกษาในเรื่อง Diversity และ Pluralism หรือความหลากหลายและพหุนิยมในกิจการโทรทัศน์ไทย  ซึ่งได้ทำการศึกษาติดตามตามนโยบายของ ศ.กิตติคุณ ดร.พิรงรอง รามสูต กสทช.ด้านกิจการโทรทัศน์

      ผศ.ดร.ประวิทย์ ชุมชู  หัวหน้าโครงการวิจัยจากจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่า ได้ศึกษาภาพรวมกิจการโทรทัศน์ของประเทศไทยในปัจจุบันซึ่งมีการออกอากาศอย่างหลากหลายมาก โดยเน้นตั้งแต่เรื่องโครงสร้างการส่งสัญญาณทีวีดิจิตอลภาคปกติ ทั่วประเทศซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมของ กสทช. โทรทัศน์ผ่านดาวเทียมและโทรทัศน์ชนิดเคเบิ้ลที่กระจายอยู่ตามภูมิภาคต่างๆ รวมทั้งIPTV  จำนวน 4 รายที่ให้บริการในปัจจุบัน ซึ่งถ้ามองตามโครงสร้างแล้วก็จะครอบคลุมการออกอากาศได้ทั้งหมด  แต่ในด้านเนื้อหาที่หลากหลาย ยังขาดรายการสำหรับเด็กและเยาวชน จากการทำโฟกัสกรุ๊ปกับกลุ่มตัวอย่างพบว่า เยาวชนทั่วประเทศยังอยากให้มีรายการสำหรับเด็กและเยาวชนเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจากข้อค้นพบกลุ่มตัวอย่างต้องการ สะท้อนความต้องการไปยัง กสทช.

ในงาน นอกจากชุดการแสดงพิเศษจากน้อง ๆ สมาคมผู้ปกครองคนพิการทางสติปัญญาแห่งประเทศไทย แล้วยังมีการเสวนาพิเศษในหัวข้อ“Diversity TV ไทย” ในด้านความหลากหลายทางพหุนิยมของกิจการโทรทัศน์ หรือ Diversity and Pluralism เพื่อเสนอแนะแนวทางการพัฒนากิจการสื่อ และกิจการโทรทัศน์ที่เหมาะสมกับบริบทที่เปลี่ยนแปลงไป ภายใต้มิติด้านการกำกับดูแล และการส่งเสริมความหลากหลายด้านกิจการโทรทัศน์

โดยมีผู้คนหลากหลายในอาชีพและช่วงวัย เข้าร่วมงานประมาณ 150 คน  โดยประเด็นที่ได้รับความสนใจและมีการแลกเปลี่ยนความเห็นมาก ประกอบด้วย การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับชม โทรทัศน์ภาคพื้นดิน ไม่ได้เป็นทางเลือกเดียว เนื้อหาท้องถิ่นที่หายไป บริการเพื่อผู้พิการไม่ตอบโจทย์ทั้งผู้รับสารและผู้ประกอบการ รายการเด็กที่ถูกทอดทิ้ง ปัญหาการถ่ายทอดสดกีฬา จากกฎ Must have, Must carry ที่เหมือนจะจบ และ OTT ทีวีหลอมรวมที่ต้องรอกฎหมาย

By admin

You missed

“เมดีซ กรุ๊ป” โชว์กำไรสุทธิ Q1/68 ที่ 74.63 ลบ. โตแรง 27% กวาดรายได้รวม 228.74 ลบ. เพิ่มขึ้น 20% YOY หลังความต้องการบริการด้านเซลล์ต้นกำเนิดสูง Dealer-Agent ขยายตัว หนุนทุกธุรกิจโตต่อเนื่อง นายแพทย์วีรพล เขมะรังสรรค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมดีซ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MEDEZE เปิดเผยว่า สำหรับผลประกอบการของบริษัท กลุ่มบริษัทมีกําไรสุทธิในไตรมาสที่ 1 ปี 2568 อยู่ที่ 74.63 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่บริษัทมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 58.91 ล้านบาท ในขณะที่บริษัทมีรายได้รวมอยู่ที่ 228.74 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่บริษัทมีรายได้รวม 190 ล้านบาท โดยบริษัทฯ มีอัตรากำไรสุทธิ อยู่ที่ประมาณ 31% – 40% ในไตรมาสที่ 1/2567 ไตรมาสที่ 4/2567 และไตรมาสที่ 1/2568 ซึ่งกลุ่มบริษัทฯ มีอัตรากำไรสุทธิ ที่แข็งแกร่ง และเติบโตอย่างต่อเนื่องนั้นเกิดจาก ในไตรมาสที่ 1/2568 กลุ่มบริษัทฯ สามารถรักษาระดับของอัตรากำไรขั้นต้น รวมถึงอัตรากำไรจากการดำเนินงาน ได้ในระดับที่ดี รวมถึงมีรายได้อื่นที่เพิ่มขึ้น และกลุ่มบริษัทมีค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้ที่ลดน้อยลงจากการที่กลุ่มบริษัทฯ ได้รับสิทธิประโยชน์ทางด้านภาษีอากรในการยกเว้นการเสียภาษี ผ่านโครงการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI ทั้งนี้การเพิ่มขึ้นของกำไร และรายได้ เกิดจากภาพรวมในการจัดเก็บเซลล์ต้นกำเนิด หรือ Stem Cell ยังมีความสำคัญ โดยเฉพาะการจัดเก็บเซลล์ต้นกำเนิดสำหรับเด็กเกิดใหม่ ซึ่งจะได้เซลล์ที่มีประสิทธิภาพสูงสุด แข็งแรง และมีความพร้อมสำหรับการนำไปใช้ในอนาคต ด้วยความก้าวหน้าด้านนวัตกรรมทางการแพทย์ และมีงานวิจัยที่ได้รับการยอมรับ ทั้งนี้แนวโน้มในการจัดเก็บยังมีความต้องการที่เพิ่มขึ้น อีกทั้งกลุ่มบริษัทฯ มีการเพิ่มขนาดทีมขายของกลุ่มบริษัทฯเอง รวมถึงเพิ่มพันธมิตรทางการค้า ที่เป็นตัวแทนให้บริการ (Dealer) และตัวแทนจำหน่าย (Agent) ทำให้สามารถเข้าถึงลูกค้าที่มีความต้องการมาจัดเก็บได้มากขึ้น และกลุ่มบริษัทฯ มีเครือข่ายพันธมิตรที่เป็นกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ รวมถึงสถานพยาบาลที่เพิ่มขึ้น ทำให้กลุ่มบริษัทฯ มีรายได้ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตามเป้าหมายที่ได้วางไว้ รวมถึงในปี 2568 กลุ่มบริษัทฯ มีการเปิดให้บริการผลิตภัณฑ์ใหม่ คือ การจัดเก็บเซลล์รากผม ที่กลุ่มบริษัทฯ เริ่มมีรายได้ในไตรมาสที่ 1 ปี 2568 จำนวน 3 ล้านบาท โดยคิดเป็น 2% ของรายได้จากการขายและการให้บริการ